เหรียญ หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ปี2522 ฉลองอายุ 106 ปี

เหรียญ หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ปี2522 ฉลองอายุ 106 ปี
เหรียญ หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ปี2522 ฉลองอายุ 106 ปีเหรียญ หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ปี2522 ฉลองอายุ 106 ปี

9999on-order.gif
เหรียญ หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ปี2522 ฉลองอายุ 106 ปีเหรียญ หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ปี2522 ฉลองอายุ 106 ปี
คำอธิบาย

ประวัติหลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์

 

หลวงปู่คำมี เกิดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๖ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง เวลาเที่ยงตรง ในสหราชอาณาจักรลาว เดิมชื่อคำมี พระวิเศษ มารดาชื่อนางน้อย พระวิเศษ มีพี่น้องร่วมสายโลหิต ๙ คน หลวงปู่คำมีเป็นบุตรชายคนที่ ๕

 

ลักษณะพิเศษของหลวงปู่คำมีที่แปลกไปจากบุคคลธรรมดาโดยทั่วไปก็คือ ฝ่ามือทั้งสองข้างลวดลายของเส้นมือมีลักษณะปรากฏเป็นยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกลางฝ่าเท้ามีลักษณะปรากฏเป็นยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกลางฝ่าเท้ามีลักษณะลวดลายคล้ายดอกพิกุลที่กลางฝ่าเท้าทั้งสองข้าง

 

เมื่อสมัยที่ท่านยังเยาว์วัยมีอุปนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรม เพื่อให้ได้ศึกษาและเจริญก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆขึ้น หลวงปู่จึงได้ขออนุญาตบรรพชาเป็นสามเณรจากโยมบิดาและโยมมารดาของท่าน ยังความปิติยินดีแก่โยมทั้งสองท่านเป็นอันมาก โยมบิดาท่านจึงพาหลวงปู่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์บรรพชาเป็นสามเณรกับพระครูพล ที่วัดชุมพรพิสัย แขวงสุวรรณเขต เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี

 

ในระหว่างที่หลวงปู่คำมีศึกษาปฏิบัติธรรมและวิชาต่างๆกับพระครูพลอยู่ที่วัดชุมพรพิสัยนั้น สิ่งที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษคืออักขระ คาถา ยันต์ต่างๆ และมีความเจริญก้าวหน้าในการร่ำเรียนอย่างรวดเร็ว เมื่อท่านศึกษาปฏิบัติจนแก่กล้าแล้ว ท่านจึงขออนุญาตพระครูพลออกธุดงค์เพื่อแสวงหาสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การเจริญธรรม เป็นเวลา ๒ ปีที่ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆอยู่กับพระครูพล และในเวลาเดียวกันนั้นเองท่านก็ได้ยินกิติศัพท์คำร่ำลือเกี่ยวกับถึงคุณวิเศษและบารมีอันมหัศจรรย์ของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ทำให้หลวงปู่มีความปรารถนาอยากไปร่ำเรียนวิชาต่างๆจากสมเด็จลุนเป็นกำลัง

 

เมื่อท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระครูพลจนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านจึงขออนุญาตกับโยมทั้งสองของท่านและพระครูพล ท่านทั้งหลายเห็นความปรารถนาตั้งใจดีของหลวงปู่แล้วถึงแม้จะประหลาดใจกับสามเณรน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัดศรัทธา หลวงปู่คำมีจึงกราบลาโยมทั้งสองและพระครูพลเพื่อธุดงค์แสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะศึกษาต่อไป จุดมุ่งหมายคือ นครจำปาศักดิ์ ที่พำนักของสมเด็จลุน

พบสมเด็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์

 

เมื่อท่านจากถิ่นฐานบ้านเกิดมาแล้ว การธุดงค์ในป่าประเทศลาวเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเพียงลำพังคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งกระแสข่าวการพำนักของสมเด็จลุนนั้นก็ไม่ได้มีความแน่นอน วันนั้นได้ทราบว่าท่านจะไปโปรดญาติโยมที่เมืองอื่นในประเทศลาว วันนี้ได้รับทราบว่าท่านจะไปฝั่งไทย ยังความสับสนต่อท่านเป็นอันมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านอดทนบุกป่าฝ่าดงต่อไปก็คือ ท่านต้องไปเรียนวิชากับสมเด็จลุนให้ได้

 

หลวงปู่เล่าให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟังว่าการติดตามหาสมเด็จลุนในสมัยนั้นยากมาก ข่าวคราวของสมเด็จฯนั้นมากมายไปด้วยบารมีอิทธิปาฏิหาริย์ บางข่าวลือว่ากันว่าท่านเดินข้ามลำน้ำโขงมาได้อย่างสบาย บางข่าวว่าท่านถูกทหารฝรั่งเศสจับกุมโทษฐานระดมผู้คนเพื่อทำการต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ทำอะไรท่านไม่ได้ เนื่องจากศรัทธาของญาติโยมที่หลั่งไหล มากราบไหว้ชื่นชมบารมีของสมเด็จนั้นมากมายเหลือเกิน อันเกิดจากบารมีธรรมของท่านล้วนๆ หาได้มีการปลุกระดม โฆษณาแต่อย่างใดไม่ สุดท้ายแม้แต่เหล่าบรรดาทหารฝรั่งเศสเองก็ให้ความเคารพนับถือสยบต่อท่าน

                สุดท้ายหลวงปู่ทราบข่าวว่าสมเด็จลุนท่านเสด็จมาโปรดญาติโยมที่นครจำปาศักดิ์ คราวนี้ท่านตั้งใจว่าจะเป็นตายอย่างไรท่านต้องไปกราบสมเด็จลุนให้จงได้

 

                หลวงปู่คำมีท่านเล่าว่าท่านยังแปลกใจตัวเองว่าท่านดั้นด้นมาถึงสมเด็จลุนได้อย่างไร ส่วนสมเด็จลุนนั้นมองสามเณรน้อยที่บุกป่าฝ่าดงมาหมอบกราบอยู่ต่อหน้าท่านด้วยความชื่นชม

คำถามแรกที่ท่านถามสามเณรน้อย  “สามเณรน้อย มาหาข้าด้วยเรื่องอันใดและมาจากไหน”

หลวงปู่ก็เล่าให้ฟังว่า “ท่านมาจากแขวงสุวรรณเขต ทราบว่าท่านเก่ง อยากจะมาเรียนวิชาจากท่าน”

สมเด็จลุนท่านยิ่งหัวเราะชอบใจ ในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของหลวงปู่ที่สามารถมาหาท่านจากแขวงสุวรรณเขตโดยลำพัง “รู้ได้อย่างไร ว่าข้าเก่งและข้าดีอย่างไร”

สามเณรน้อยตอบไปว่า “ข้าน้อยไม่ทราบว่าสมเด็จเก่งอย่างไร แต่ข้าน้อยมีความตั้งใจอยากมากราบสมเด็จให้ได้และขอเป็นศิษย์ของสมเด็จ”

คำตอบของสามเณรน้อยเป็นที่ชอบใจของสมเด็จลุนเป็นอย่างยิ่งจึงรับตัวไว้เป็นศิษย์ สามเณรคำมีอยู่รับใช้และศึกษาวิชาต่างๆจากสมเด็จลุนอย่างเคร่งครัด เมื่อท่านเห็นว่าสามเณรคำมีได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆจากท่านจนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงให้สามเณรคำมีกลับไปเผยแพร่ธรรมและโปรดโยมบิดามารดาของท่านที่สุวรรณเขต โดยท่านฝากสามเณรคำมีไปกับกองคาราวานชาวไทยใหญ่  หลวงปู่จึงได้กราบลาสมเด็จลุนมาด้วยความอาลัย

 

ศึกษาวิชากับหลวงปู่ศรีทัต

 

เมื่อหลวงปู่กลับมากราบพระครูพล อาจารย์องค์แรกของท่านและโปรดญาติโยมที่วัดชุมพรพิสัยได้ระยะหนึ่ง ท่านได้เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปไหว้พระธาตุพนมที่ฝั่งไทย จึงลาพระครูพลเพื่อเดินทางมาทางฝั่งไทย พอข้ามฝั่งโขงเหยียบถึงแผ่นดินไทย เกิดได้ทราบข่าวบารมีความเก่งกล้าของพระครูศรีทัต แห่งอำเภอท่าอุเทน เมื่อนมัสการพระธาตุพนมเสร็จท่านจึงยังไม่กลับไปสุวรรณเขต แต่มุ่งหน้าสู่อำเภอท่าอุเทนเพื่อไปกราบนมัสการพระครูศรีทัตและขอฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อพระครูศรีทัตทราบความเป็นมาของหลวงปู่คำมีจึงรับสามเณรคำมีไว้เป็นศิษย์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าได้อยู่รับใช้และศึกษาธรรมจากหลวงปู่ศรีทัต ที่เมืองไทยถึงสามพรรษา หลวงปู่ศรีทัตนั้นมีความเข้มงวดมากตั้งแต่เรื่องพระธรรมวินัย จนไปถึงการศึกษาวิชาต่างๆท่านมีความเคร่งครัดมาก จนเมื่อหลวงปู่คำมีอายุครบบวชท่านจึงลาหลวงพ่อศรีทัตกลับไปยังฝั่งลาวเพื่อทำการอุปสมบท

 

พบพระอาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรม

               

ท่านได้กลับมายังแขวงสุวรรณเขตและได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดชุมพรพิสัย ท่านได้จำพรรษาโปรดโยมบิดามารดาที่วัดชุมพรพิสัยอยู่ ๒ พรรษา ด้วยความต้องการแสวงหาวิมุตติธรรมของท่านเป็นที่ตั้ง ท่านจึงลาโยมบิดามารดาของท่านอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ท่านไม่มีโอกาสได้กลับมาพบโยมของท่านอีกเลย ท่านกราบลาพระครูพลและโยมบิดามารดาของท่านแล้วออกธุดงค์มายังฝั่งไทยอีกครั้ง ธุดงค์ไปหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานของไทยหลายพรรษา จนกระทั่งเข้าสู่เมืองโคราช ท่านก็ได้ยินชื่อเสียงความเป็นนักปฏิบัติที่เคร่งครัดของ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโร วัดป่าสาลวัน พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายกองทัพธรรม ท่านจึงเดินทางไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ รับแนวทางปฏิบัติจากท่านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าหลวงปู่เสาร์มีความเชี่ยวชาญแก่กล้าทางด้านกสิณเป็นอันมาก โดยเน้นให้ความสำคัญทางด้านกสิณ ๔ อันเป็นปฐมของธาตุทั้งมวลในโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหลวงปู่คำมีได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการตั้งธาตุปลุกเสกวัตถุมงคลในกาลต่อมา

 

                เมื่อท่านได้ศึกษาปฏิธรรมกับหลวงปู่เสาร์จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กราบลาหลวงปู่เสาร์เพื่อธุดงค์ต่อไป ท่านได้เดินธุดงค์มาถึงอำเภอพระพุทธบาท สระบุรีไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท และได้เดินธุดงค์มายังบ้านโปร่งสว่าง ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านโปร่งสว่างและได้สร้างวัดและพระอุโบสถจนสำเร็จ จากนั้นท่านได้มาจำพรรษาที่บ้านประดู่ ได้มาสร้างวัดและพระอุโบสถ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ๑๖ พรรษา ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ท่านยังได้ทำการสร้างวัดและพัฒนาวัดต่างๆจนเจริญเป็นอย่างมาก เป็นที่ศรัทธาของญาติโยมในละแวกนั้น อันได้แก่ วัดหนองแก, วัดหนองจิกและวัดตาลเสี้ยน

 

                หลวงปู่คำมีท่านได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องทั้งหลายมันชักจะวุ่นวายไม่มีเวลาแสวงหาความสงบและปฏิบัติธรรม ท่านจึงจากญาติโยมทั้งหลายออกธุดงค์ต่อไปโดยมิได้ร่ำลา มุ่งมาทางจังหวัดลพบุรี  ท่านได้เดินธุดงค์มาพบถ้ำเอาราวัณ ท่านเห็นว่าเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การหลบหลีกจากความวุ่นวายทั้งหลาย ท่านจึงอาศัยเป็นที่พำนักในการเจริญธรรม

 

แต่เพียงไม่นาน ญาติโยมก็ทราบข่าวจึงออกติดตามมาให้ท่านไปกลับไปที่วัดเพื่อเจริญศรัทธาให้แก่พวกเขาต่อไป พร้อมทั้งจะไปขอตำแหน่งพระครูให้ท่าน ท่านจึงแสดงให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า การที่ท่านหนีออกมาก็เพราะลาภ ยศ และสักการะทั้งหลาย ท่านว่าเป็นความมัวเมา ความวุ่นวาย ท่านขอจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเอราวัณต่อไป ญาติโยมทั้งหลายจึงต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง

               

                ต่อมาชาวบ้านดงจำปาได้มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปโปรดญาติโยมและช่วยสร้างวัดที่นั่น หลวงปู่ได้ไปช่วยสร้างวัดและพระอุโบสถจนเป็นที่สำเร็จ หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดดงจำปาระยะหนึ่ง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหม่จำปาทอง) ท่านจึงกลับไปพำนักที่ถ้ำเอราวัณอีกครั้ง ท่านอยู่จำพรรษาที่ถ้ำเอราวัณ ๓ พรรษา ในช่วงนั้นได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นบุกขึ้นประเทศไทย ท่านย้ายจากถ้ำเอราวัณมาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ต่อมาไม่นานสงครามก่อตัวขึ้นเป็นสงครามอินโดจีน ท่านได้ทำเครื่องรางแจกทหารหาญที่ไปรบ ทหารทุกคนที่ได้รับเครื่องรางของขลังจากท่านไปและนำติดตัวไปสงครามคราวนั้น ปรากฏว่าปลอดภัยกันทั่วหน้า ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆเลย

 

                อีกทั้งในสงครามในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ก็ปรากฏเฉกเช่นเดียวกัน ทหารทุกคนที่ไปสงครามคราวนั้นและมีวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวไปด้วยสามารถกลับมาโดยปลอดภัยทุกคน จ่าบัติผู้บันทึกเรื่องราวยืนยันโดยหนักแน่น ปัจจุบันจ่าบัติอายุ ๖๐ กว่าปี แขวนวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวตลอดและให้ความเชื่อมั่นมากกล่าวถึงหลวงปู่คำมีด้วยเคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

 ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่

 

ร่างไม่เปียกฝน

ขณะที่หลวงปู่ปักกลดเจริญภาวนาอยู่ที่ป่าบ้านหนองปลาดุก(จากบันทึกไม่ทราบว่าเป็นจังหวัดใด) ครั้งนั้นมีหลวงตาทองคำและหลวงพ่อหงษ์ ร่วมธุดงค์ไปด้วย เกิดพายุฝนตกหนักน้ำป่าไหลบ่ามาทางท่านและพระภิกษุทั้งสอง หลวงตาทองคำและหลวงพ่อหงส์ได้หนีน้ำป่าละจากกลดที่ท่านพักอยู่เดินมายังกลดหลวงปู่คำมี ท่านทั้งสองได้พบกับความแปลกใจ น้ำป่ามิได้ไหลเข้ามาบ่าท่วมทำลายกลดของหลวงปู่คำมีแต่อย่างใดไม่ อีกทั้งจีวรของหลวงปู่คำมีก็มิได้เปียกฝนอย่างเช่นพระภิกษุทั้งสอง

 

ย่นระยะทาง

คราวที่ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ใหม่ วัดดงจำปา ได้มานิมนต์ท่านไปฉันท์เพลที่บ้าน หลวงปู่สั่งให้ผู้นิมนต์เดินทางล่วงหน้าไปก่อน เมื่อผู้นิมนต์กลับไปถึงบ้านถึงกับตกตลึงเมื่อเห็นหลวงปู่กำลังตักน้ำล้างเท้า สร้างความสงสัยให้แก่พวกเขายิ่งนัก ว่าท่านมาได้อย่างไรแซงพวกเขาขึ้นมาตอนไหน เพราะทางแถวนั้นเป็นป่าทั้งหมดมีทางเดินเพียงทางเดียว

 

เสกปูนให้จืด

ทุกครั้งที่ก่อนจะเข้าพิธีหลวงปู่จะขอปูนแดงที่กินกับหมาก ก้อนขนาดเท่าหัวแม่มือมาทำการเสกให้จืดเสียก่อนเพื่อเป็นเคล็ดในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เคยมีผู้ทดลองชิมปูนแดงที่หลวงปู่เสกแล้วปรากฏว่าจืดสนิท

 

หายตัวได้

พระอาจารย์หวาน หลวงพี่จันทร์ พระทั้งสองซึ่งจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่คำมี ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์เล่าให้ฟังว่า ได้มีญาติโยมหลวงปู่และพระในวัดไปฉันท์เพลที่บ้านดงน้อย ทางไปบ้านดงน้อยนั้นต้องอาศัยเพียงการเดินเท้าไปเพราะทางเดินเป็นป่าและทุ่งนา ขากลับจากฉันท์เพลผ่านสระน้ำ อากาศวันนั้นร้อนมาก หลวงปู่ได้บอกกับพระทั้งสองว่า ท่านขอสรงน้ำสักครู่ขอให้ท่านทั้งสองรออยู่ก่อน ในขณะที่ท่านสรงน้ำนั้นปรากฏว่าพระทั้งสองรูปไม่สามารถมองเห็นหลวงปู่ จึงเที่ยวตามหาในบริเวณนั้น เป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบ พระทั้งสองรูปจึงปรึกษากันว่าหลวงปู่คงไปจากที่นั้นเสียแล้วจึงได้ชวนกันกลับวัด เมื่อพระทั้งสองรูปมาถึงที่วัดก็ถึงกับตกตลึงเมื่อพบหลวงปู่นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลวงปู่บอกพระทั้งสองรูปว่าเห็นพระทั้งสองตามหาท่าน ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้ไปไหน

พระอาจารย์หวาน เป็นศิษย์สืบทอดวิชาท่านหนึ่งของหลวงปู่ ปัจจุบันมรณภาพแล้ว ส่วนหลวงพี่จันทร์ได้กลับไปจำพรรษาที่บ้านเกิดของท่านคือ วัดศรีพิมล ต.บ้านโต้น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น

 

ขโมยของไม่ได้

จ่าสำราญ (ขอสงวนนามสกุล) ท่านเป็นทหารปืนใหญ่อยู่ในจังหวัดลพบุรี เล่าให้ฟังตอนไปทำบุญที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เพื่อสมทบทุนสร้างพระอุโบสถ จ่าสำราญแกได้รับแจกเหรียญหลวงปู่คำมีมาเหรียญหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้านได้วางเหรียญของหลวงปู่ไว้บนหลังโทรทัศน์และลืมสนิทเนื่องจากแกไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องเครื่องรางของขลังใดๆ เวลาต่อมาหลายวันหลังจากนั้น ได้มีขโมยได้งัดบ้านแกเข้าไปขโมยของภายในบ้าน ขโมยคนนั้นได้เข้าไปพยายามยกโทรทัศน์แต่ยกไม่ขึ้น โดยช่วยกันยกทั้งสองคนแต่ก็ยกไม่ขึ้น จ่าสำราญแกรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเห็นขโมยทั้งสองกำลังพยายามยกโทรทัศน์กันเป็นสามารถแต่ยกไม่ขึ้น ทั้งที่ความจริงโทรทัศน์เครื่องนั้นไม่ได้หนักมากแต่อย่างใด ลำพังคนเดียวก็สามารถยกขึ้นได้ และเมื่อขโมยเห็นเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมาจึงชักปืนยิงจ่าสำราญ โดยยิงเท่าไรก็ไม่ออก เสียงดัง แชะ แชะ อยู่อย่างนั้น จ่าสำราญได้สติจึงชาร์จเข้าไปหวังจะจัดการเจ้าขโมยสองคนนั้น ขโมยทั้งสองคนเห็นว่าจ่าสำราญยิงไม่ออกจึงขวัญหนีโกยแน่บโดยไม่ได้อะไรไปแม้แต่ชิ้นเดียว  ถ้าถามว่าจ่าแกมีอะไรดีปืนถึงยิงไม่ออก ก็ขอบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวแกนอกจากเสื้อผ้าแล้วไม่มีอะไรเลย นอกจากเหรียญหลวงปู่คำมีที่วางอยู่บนหลังโทรทัศน์ที่เจ้าขโมยสองคนนั้นพยายามยกอยู่เท่านั้น

เชือกคาดเอว

เรื่องนี้เกิดกับตัวจ่าวิทย์ บ้านอยู่ดงจำปา สังกัด ร.พัน ๖ จังหวัดลพบุรี จ่าวิทย์นับถือหลวงปู่คำมีเป็นอย่างมาก แกนำเชือกคาดที่หลวงปู่คำมีมอบให้กับมือใช้คาดเอวอยู่ตลอด ตัวจ่าวิทย์แกมีมอร์เตอร์ไซค์คู่ชีพอยู่คันหนึ่ง แกบิดไปทำงานทุกเช้า-เย็น วันหนึ่งแกบิดเจ้าพาหนะคู่ชีพไปทำงานตามปกติ ได้มีรถยนต์มาอัดก็อปปี้อย่างแรง ตัวจ่าวิทย์ ไม่มีส่วนใดของร่างกายบาดเจ็บแม้แต่น้อย ส่วนเจ้ามอเตอร์ไซค์คู่ชีพพังยับเยินใช้การไม่ได้อีกต่อไป เป็นปรากฏการณ์เนื้อแข็งกว่าเหล็กที่เกิดจากพระพุทธานุภาพและบารมีของหลวงปู่อย่างแท้จริง

 

อีกเรื่องหนึ่งเกิดกับเจ้าคำหิง ท่านอยู่ที่นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว ได้ย้ายมาอยู่ประเทศไทยแถวปากช่อง ท่านได้มากราบนมัสการหลวงปู่คำมี หลวงปู่ท่านได้มอบเชือกคาดให้หนึ่งเส้น ท่านจ้าคำหิงได้ใช้ติดตัวตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งเจ้าคำหิงไปทำธุระที่โคราชพร้อมกับญาติๆ ขากลับมาจากโคราชยางรถเกิดระเบิดรถเสียหลักตกไปกลิ้งโค่โร่ในเหวข้างถนน ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องตายหมดทุกคนเนื่องจากพบกับเหตุการณ์นี้บ่อยๆในถนนเส้นนี้ ถ้าหากมีอุบัติเหตุในถนนสายนี้ แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่าคนทั้งรถไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่คนเดียว  ทั้งรถมีเชือกคาดเอวหลวงปู่คำมีที่เจ้าคำหิงใช้ติดตัวอยู่เพียงเส้นเดียว

 

 

เรื่องเชือกคาดของท่านอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้จ่าบัติประสบมาด้วยตนเอง โดยแกเล่าว่าเมื่อสมัยที่แกยังหนุ่มมีปลัดอำเภอเมืองลพบุรี (ขอสงวนนาม) ทราบกิตติศัพท์ของหลวงปู่ได้มาพาพวกของตนมาบูชาเชือกคาดของหลวงปู่มาลองยิง โดยแขวนไว้ที่ต้นมะพร้าวแล้วชักปืนออกมายิงเสียงดัง แชะ แชะ ไม่ยักดังโป้ง เมื่อหลวงปู่ทราบเรื่องจึงให้เด็กวัดไปบอกปลัดฯท่านนั้นว่า ขืนยิงต่อไปอีกหากเป็นอะไรไปจะไม่รับผิดชอบ ลูกน้องปลัดฯและปลัดท่านนั้นต้องมากราบขอขมาต่อหน้าหลวงปู่

 

สีผึ้งยังยิงไม่ออก

รายนี้ไม่เข้าใจอุปเท่ห์ของเครื่องรางหรืออย่างไรก็เหลือที่จะคาดเดา ท่านขอสงวนนาม อยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นำสีผึ้งสีปากของหลวงปู่ที่ท่านมอบไปให้ไว้บูชา มาทดลองยิงโดยใช้ปืนขนาด .๓๘ ยิงจนหมดโม่ ปรากฏว่ายิงไม่ออกแม้แต่นัดเดียว พอหันกระบอกปืนออกไปทางอื่นกลับยิงออกทุกนัด

แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วแต่บารมีแห่งความเมตตาของท่านยังอยู่

สตรีท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม) สามีเธอเป็นข้าราชการทำงานอยู่ที่โรงงานผลิตอาวุธ (กสย.) จ.ลพบุรี ได้ไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลลพบุรี บุตรเกิดอาเท้าออกไม่กลับหัวลงและมีอาการช๊อค แพทย์ลงความเห็นว่าผู้หญิงคนนี้คงรอดยากจึงได้นำตัวส่งเข้าห้องไอ.ซี.ยู ผู้หญิงคนที่คลอดบุตรได้เล่าให้ฟังว่าในขณะที่กำลังชุลมุนกันอยู่นั้นได้เห็นภาพพระแก่ๆมาเป่าท้องให้ ตอนแรกหมอจะผ่าท้องเอาเด็กออกโดยไม่แน่ใจว่าเด็กจะรอดหรือแม่จะรอด เพราะดูในฟิล์มเอ็กซเรย์แล้วเด็กไม่ยอมกลับตัวจะเอาขาออก กลับคลอดออกมาปลอดภัยแบบปาฏิหาริย์เมื่อคนแม่ฟื้นขึ้นมา สร้างความประหลาดใจให้กับคณะแพทย์และพยาบาล เมื่อสตรีผู้นั้นได้กลับมาพักฟื้นได้ถามชาวบ้านละแวกนั้นว่ามีพระแก่ๆที่อายุมากๆที่มรณภาพไปแล้วบ้างไหม พร้อมทั้งได้ให้สามีช่วยสืบข่าวตามหา

เผอิญได้เข้ามาในวัดกับสามีและได้มากราบศพท่าน เหลือบไปเห็นภาพหลวงปู่คำมี จึงได้บอกกับสามีว่านี่แหละหลวงปู่องค์นี้ไปเป่าท้องให้จึงคลอดบุตรออกมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งสองสามีจึงเคารพท่านมาก เนื่องจากไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน แต่ท่านได้มาช่วยครอบครัวนี้ให้พ้นจากภัยอันตราย

               

หัวหน้าเกษตรกร ประจำอยู่ที่ อ.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี ได้ล่าให้ข้าพเจ้า(จ่าบัติ) ฟังพร้อมกับพระในวัด ว่าได้มีพระแก่ๆไปเข้าฝันบอกว่าให้มาเปลี่ยนผ้าจีวรให้ท่านหน่อยทั้งๆที่ท่านไม่เคยรู้จักและทราบว่าในวัดถ้ำคูหาสวรรค์จะมีพระภิกษุ มรณภาพนอนอยู่ในโลงแก้ว ในฝันนั้นท่านบอกว่าเห็นเห็นภาพโลงแก้ว ข้างๆโลงแก้งมีภาพของหลวงปู่อยู่ จึงได้พยายามสอบถามจากชาวบ้านละแวกนั้นว่าในแถบนี้มี หลวงปู่ หลวงพ่อที่มรณภาพแล้วไม่เน่าเปื่อยประดิษฐานอยู่ในโลงแก้วบ้างหรือไม่ จึงได้ความว่าเป็นหลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เมื่อเป็นที่กระจ่างแล้ว ท่านจึงรีบเดินทางมาที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เมื่อมาอยู่หน้าโลงแก้วของหลวงปู่ก็จำได้ว่าเป็นสถานที่เดียวกันกับนิมิตที่พบในฝัน จึงกลับเข้าไปในตัวเมืองซื้อผ้าไตร จีวรมาถวายหลวงปู่โดยทันที เมื่อกลับไปแล้วก่อนวันหวยออกท่านก็ได้ซื้อล็อตเตอรี่เหมือนเช่นเดิมที่ท่านเคยปฏิบัติมา ปรากฏว่าท่านเกษตรกรผู้นั้นถูกรางวัลที่สอง ซึ่งแต่ก่อนหน้านั้นมาท่านซื้อล็อตเตอรี่มาตลอดแต่ไม่เคยถูกเลย ท่านจึงให้ความคารพนับถือต่หลวงปู่คำมีเป็นอย่างมาก

 

                คุณสายสุนีย์ บ้านอยู่แถวบางซื่อ ได้เช่าพระเครื่องรุ่นฉลองอายุ ๙๖ ปี ของหลวงปู่คำมี แล้วได้นำมากราบไหว้บูชาทุกคืน อยู่มาวันหนึ่งหลวงปู่คำมีได้มาเข้าฝันคุณสายสุนีย์ให้ซื้อเลขท้าย ๒ ตัวของงวดที่จะออกในวันรุ่งขึ้น คุณสายสุนีย์ได้หาซื้อล็อตตอรี่เลขที่หลวงปู่บอกในฝันมาได้ ๔ ใบ ปรากฏว่าเมื่อหวยออกคุณสายสุนีย์ได้ถูกรางวัลเลขท้ายตรงตามที่หลวงปู่ได้มาเข้าฝันบอกไว้ จึงเพิ่มความศรัทธาให้กับคุณสายสุนีย์และได้ทำการบูชาเรื่อยมา และคุณสายสุนีย์ได้ถูกล็อตเตอรี่ต่อมาติดต่อกันอีกถึง ๙ งวด

 

คุณกัลยารัตน์ เกษราพงษ์ บ้านลขที่ ๘๗/๔ ตรอกโพธิ์สามต้น กรุงเทพฯ ได้เล่าให้ฟังตอนไปร่วมทำบุญที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ได้พระสมเด็จนางพญาของหลวงปู่มาหนึ่งองค์ เธอได้อธิษฐานขอให้มีโชคในการอธิษฐานขอให้มีโชคลาภ ปรากฏว่าคืนนั้นหลวงปู่มาเข้าฝันบอกให้ไปซื้อเลขท้ายสามตัว ปรากฏว่าว่าธอถูกรางวัลสามตัวตรงๆตามเลขที่หลวงปู่มาบอก ซึ่งตั้งแต่ซื้อล็อตเตอรี่มาเธอไม่เคยถูกเลยและหลวงปู่ได้มาเข้าฝันบอกถูกอีกแปดงวดซ้อน

ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ยังมีอีกมากมาย แต่ขอกล่าวแต่เพียงเท่านี้เพื่อเป็นการเจริญศรัทธา อีกทั้งเรื่องเหล่านี้นับเป็นเรื่องปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน ผู้ที่ไม่ทราบด้วยตนเองอาจปรามาสหลวงปู่ได้

 

หลวงปู่ท่านได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิตของท่านด้วยระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่บรรพชาเป็นสามเณรจวบจนมรณภาพที่ โรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ รวมอายุท่านได้ ๑๐๘ ปี ๘๐กว่าพรรษา

บรรดาศิษยานุศิษย์ได้เคลื่อนย้ายสังขารของท่านมาไว้ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี ตามคำสั่งของท่านที่ว่าเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ห้ามนำร่างของท่านไปเผาหรือฝังเด็ดขาด และเกิดปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อบรรดาพุทธศาสนิกชนว่าสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย